สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ทันสมัยแค่ไหน ไฮเทคแค่ไหนถ้ามันจะถึงฆาตก็จมครับ ด้วยหลายปัจจัย
เพราะสาเหตุที่ไททานิกลำแรกจม (สาเหตุที่ชนน้ำแข็ง) มันเกิดจากหลายปัจจัยเกื้อหนุนกันให้ล่มจริง ๆ ครับ
สารคดี Titanic Case Closed สรุปจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานอ้างอิงต่าง ๆ ว่า โดยรวมคือไททานิก "ถึงฆาต" จริงๆ
ฉายาว่า “ไม่มีวันจม” (Unsinkable Ship) จากข้อมูลในสมัยนั้นผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่ายต่างบอกกันเลยว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด ทันสมัยที่สุด และปลอดภัยที่สุด ในยุคสมัยนั้นแล้วครับ ไม่จะไม่มีเทคโนโลยีอะไรมาก ได้ถือได้ว่าครบครัน
ในคืนที่ชน 14 เมษายน 1912 กลางแอตแลนติกคืนนั้นคือคลื่นลมนิ่งสนิทมาก จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่นั้นคุยกันเล่น ๆ ว่าพื้นน้ำ "ยังกับกระจก" ซึ่งภาวะนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในมหาสมุทรนัก หาได้ยากมาก และการที่มันไม่มีคลื่นทำให้กลางคืนมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งเลย อย่างน้อยถ้ามีคลื่นไปกระทบฐานภูเขาน้ำแข็งก็จะเกิดฟองคลื่นขึ้นเห็นได้แต่ไกล พอไม่มีเลยก็มองเห็นน้ำแข็งได้ยากมาก
อีกประการคืออยู่ดี ๆ ในคืนนั้นเกิดปรากฎการณ์อุณหภูมิก็เย็นเยือกลงแบบกระทันหันครับ ผู้โดยสารที่รอดชีวิตมาให้การตรงกันหมดว่าอยู่ดี ๆ อากาศก็เย็นเยือกขึ้นมากลางดึกซะงั้น ซึ่งการเกิดปฏิกิริยาธรรมชาติด้วยการที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วแบบนี้มันทำให้เกิดไอน้ำขึ้นมาทำให้ไม่เห็นขอบฟ้ากับทะเลแยกกันชัดเจน เพราะฉะนั้นการคำนวณรัศมีของภูเขาน้ำแข็งมันทำไม่ได้ และในปีนั้นดันเป็นปีที่มีน้ำแข็งในเส้นทางมากกว่าปกติในรอบหลายสิบปีครับ จากข้อมูลของ Tim Maltin นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เขาพบงานวิจัยของนักวิจัยจาก Texas State University-San Marcos ระบุว่า ในเดือนธันวาคมของปี 1911 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1912 วงโคจรของโลกเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างมาก ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงที่สูงกว่าปกติ น้ำทะเลก็เลยไปชะลากเอาก้อนน้ำแข็งออกมาจากฝั่งลาบราดอร์และนิวฟาวนด์แลนด์ลงสู่ท้องทะเลแอตแลนติกเหนือ ทับเส้นทางเดินเรือของไททานิกพอดี ซึ่งปริมาณมหาศาลมากจนเรือเล็ก ๆ หลาย ๆ คำต้องหยุดการเดินทางกลางทะเล และส่งสัญญาณและโทรเลขเตือนกันให้ว่อน
ผลของการที่มีน้ำแข็งเต็มท้องทะเลทำให้ในเวลาต่อมาอากาศเหนือพื้นน้ำเย็นจัดกว่าอากาศข้างบน ก่อให้เกิดการบิดเบี้ยวการเดินทางของแสงจนเกิดเป็นภาพลวงตา (mirage) แบบเดียวกับที่เราเห็นภาพลวงตาบนถนนที่ร้อนจัด โดย Tim Maltin สันนิษฐานว่าภาพลวงตานี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เจ้าหน้าที่บนเรือไททานิกมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า เพราะปกติจะเห็นน้ำแข็งพาดผ่านเส้นขอบฟ้า แต่ภาพลวงตาแบบนี้อาจทำให้เห็นเส้นขอบฟ้าสูงกว่าน้ำแข็ง กว่าจะรู้ตัวก็สุดวิสัยที่จะหักหลบได้ทันแล้ว (จังหวะตั้งแต่เห็นน้ำแข็งจนถึงการชนนั้นราว ๆ 30 วินาที)
ข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับคำให้การของพยานผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิกที่บอกว่าวันนั้นมองเห็นเส้นขอบฟ้าพร่าเลือนผิดธรรมชาติครับ
อันที่จริงไททานิกโชคดีมาก ๆ นะครับที่ยังสามารถลอยลำได้อยู่สองชั่วโมง ถ้าบริหารจัดการเรือช่วยชีวิตดี ๆ และถ้ามีเรือลำอื่นมาช่วย ไททานิกอาจไม่มีผู้เสียชีวิตเลยก็ได้ (ยกเว้นคนงานห้องถ่านหินที่อาจตายตอนชนใหม่ ๆ ) เรือชื่อแคลิฟอร์เนียน ห่างออกไปราว 30 ไมล์อาจสามารถมาช่วยได้ทันเวลาจนผู้เสียชีวิตไม่น่าจะมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ด้วยความผิดพลาดของคน คือไททานิกเนี่ย ได้รับวิทยุโทรเลขเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือถึง 7 ครั้ง (เอกสารบางแหล่งระบุว่า 6 ครั้ง) จากเรือเดินสมุทรในสายแอตแลนติกเหนือ หลายลำ และที่ร้ายก็คือ เมื่อเวลา 21.45 น. ไททานิกได้รับวิทยุโทรเลขเตือนว่ามีภูเขาน้ำแข็งและน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่ในเส้นทางข้างหน้า แต่พนักงานวิทยุโทรเลขไม่ได้ส่งข้อความนั้นให้แก่กัปตันหรือเจ้าหน้าที่เรือคนใดเลย ทั้งนี้ เพราะมัวยุ่งอยู่กับการส่งวิทยุโทรเลขให้แก่ผู้โดยสาร ซึ่งเป็นเหตุให้กัปตัน (หรืออิสเมย์) สั่งเร่งความเร็วสูงสุด 23 น้อตนั่นเอง ซึ่งต่อมา 22 นาฬิกา 50 นาที เรือเดินสมุทร แคลิฟอร์เนียน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ส่งข่าวเตือนไททานิก
พนักงานโทรเลขของเรือแคลิฟอเนียน พยายามเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งกับไททานิกว่ามีธารน้ำแข็งใหญ่อยู่ข้างหน้าพวกเขา ทำให้ต้องหยุดเรือเพราะไม่สามารถไปต่อได้ แต่ก็ต้องถูกตัดบทโดยพนักงานโทรเลข แจ็ค ฟิลลิป ที่กำลังยุ่งและอารมณ์ไม่ดีจากการที่ผู้โดยสารต้องการใช้บริการมากมายจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น จึงได้ตอบกลับไปยังเรือแคลิฟอร์เนียนว่า "Shut up, shut up, I am busy; I am working Cape Race" ทำให้เรือแคลิฟอร์เนียนถึงกับเหวอ (ก็อาจจะโกรธล่ะนะ หวังดีแต่โดนตอบมาแบบนั้น) แต่เขาก็ตัดสินใจอยู่ไปอีกสักครู จากนั้นเมื่อ 23.30 เขาก็ตัดสินใจปิดการสื่อสารแล้วเข้านอนไป
เหตุการณ์หลังจากนั้นเมื่อเรือชน Titanic ส่งสัญญาณ CQD ออกไป การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในสมัยนั้นจริงๆจะใช้สัญญาณ CQD (Come Quick Danger) ซึ่งในตอนแรกก็ใช้สัญญาณนั้น ส่วน SOS นั้นเป็นสัญญาณใหม่ ซึ่งพอหลังๆฟิลลิปเห็นว่า CQD ไม่ได้ผล จึงเริ่มส่งสัญญาณ SOS ออกไป ซึ่งถือว่าเป็นเรือลำแรกในโลกที่ใช้ SOS ในการขอความช่วยเหลือ ซึ่งพอเรือใกล้จม แจ็ค ฟิลลิปพยายามส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือไปเรื่อยๆอย่างบ้าคลั่ง (เหมือนกับรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนละมั้ง) และปฏิเสธที่จะหนีจากการชวนของ แฮโรลด์ ไบรด์ เพื่อนเจ้าหน้าที่โทรเลขอีกคน ทำให้ผลสุดท้ายไบรด์รอดชีวิตแต่ถูกหิมะกัดเท้า ส่วนฟิลลิปนั้นเสียชีวิต
และคงมีคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่โทรเลขถึงมั่วแต่สนใจผู้โดยสาร ไม่สนใจงานหลักของเรือ คือเนื่องจากในสมัยนั้นบริษัทโทรเลขไม่ได้ขึ้นตรงกับเรือ แต่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทของมาร์โคนี่ และหน้าที่หลักของห้องโทรเลขในสมัยนั้นคือ บริการผู้โดยสาร เนื่องจากสมัยนั้นมีโทรศัพท์ใช้แล้วก็จริง แต่เนื่องจากโทรศัพท์บนเรือกับแผ่นดินนั้นยังไม่มี การติดต่อโทรเลขจึงสำคัญมาก เพราะการเดินเรือนั้นบางทีกินเวลาเป็นสัปดาห์เป็นเดือน ส่วนหน้าที่ในการติดต่องานเรือนั้นเป็นเรื่องรอง และยังไม่มีระบบการส่งข้อความถึงกับตันอย่างเป็นรูปเป็นร่างอีกด้วยครับ
นอกจากเรื่องของโทรเลขแล้ว ลูกเรือและเจ้าหน้าที่เรือแคลิฟอร์เนียนที่ประจำการเห็นสัญญาณทุกอย่างของไททานิกนะครับ จากการให้การของกัปตันและลูกเรือของเรือแคลิฟอร์เนียนบอกตรงกันว่าเห็นพลุสัญญาณที่เรือไททานิกยิงขึ้นขอความช่วยเหลือ แต่ก็สับสนว่ามันเป็นพลุสัญญาณอะไร เนื่องจากพวกเขาเห็นพลุสัญญาณพุ่งขึ้นไม่สูงนัก และเป็นพลุขาว (อันนี้ไททานิกพลาด ไม่เตรียมพร้อมพลุแดง เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เช็คให้ดี หรือชะล่าใจไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรฉุกเฉิน) และซ้ำร้ายเมื่อเจ้าหน้าที่บนเรือส่องกล้องส่องทางไกลไปดู เขาไม่รู้ว่าเรือลำนั้นคือไททานิกครับ เพราะเห็นว่าเรือที่ยิงพลุขึ้นมามีลักษณะแปลก ๆ ท้องเรือกว้างผิดเรือเดินสมุทรทั่วไป เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเรือไททานิกหรือไม่ และจากการที่ดาวเต็มฟ้าคืนนั้นและจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากความเย็นนั้นมันส่งภาพลวงตาลงมา ทำให้มองไกล ๆ ไม่รู้ว่าแสงแวบ ๆ อะไร เพราะมันคล้ายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างจากตัวเรือ แสงจากดาว หรือแสงจากพลุ เลยไม่รู้ว่าเป็นพลุขอความช่วยเหลือหรือไม่ ต่อมามีคนลองไปจำลองเหตุการณ์ที่สก็อตแลนด์ ว่าถ้ามีดาวอยู่เต็มฟ้า แล้วเรืออีกลำส่งสัญญาณอะไรมา จะเกิดแบบเดียวกันหรือไม่ ปรากฎว่าเหมือนกัน คือก็เห็นแวบๆ แต่ไม่รู้ว่าสัญญานอะไรกันแน่...
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ ตัวกับตัน Stanley Lord โดนประนามอย่างหนักเลยทีเดียว โดยเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเรือไททานิกจะขอความช่วยเหลือมา เพราะเขาเป็นเรือลำเล็ก ๆ ก็นึกว่าเรือสุดยิ่งใหญ่จะมาขอความช่วยเหลือได้ไง มันจะจมได้อย่างไร พอตื่นเช้ามาเท่านั้นแหละถึงรู้ว่าไททานิกจม
และหลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้มีกฏการเดินเรือเพิ่มขึ้น นั่นคือจะต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำห้องสื่อสารตลอด 24 ชม. ครับ
นอกจากพลุ อีกอย่างที่ชัดเจนว่า "ไม่เตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินเลย" คือเรื่อง "เรือชูชีพ" ครับ
ถ้าเราดูจากดาดฟ้าที่มันว่าง ๆ อันที่จริงมันไม่ควรว่างขนาดนั้น อันที่จริงไททานิก พื้นที่ดาดฟ้าทั้งหมดของไททานิกสามารถบรรจุเรือได้ 64 ลำ
ซึ่งเพียงพอและเหลือเฟือกับผู้โดยสารและลูกเรือทั้งราว ๆ 2,400 คน (บรรจุเต็มที่ลำละ 65 คน คูณ 64 ก็ทำให้บรรจุได้ถึง 4,160 หรือ หรือแม้แต่จะให้นั่งสบาย ๆ ลำละ 40 คน ก็ได้มากถึง 2,560 คน) แต่ไททานิกดันออกแบบให้บรรจุเพียง 32 ลำ (เพียงพอตามกฎหมายในสมัยนั้นครึ่งนึงก็ผ่านแล้ว) ซึ่งก็ไม่พอกับลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดอยู่แล้ว แต่เคราะห์ซ้ำกำซัด ก่อนวันที่จะออกเรือจริง ๆ บรรดาผู้มีอำนาจต่างลงความเห็นตรงกันว่าให้เอาเรือออกอีก ให้เหลือ แค่ 20 ก็พอ เพราะมันจะเกะกะดาดฟ้าให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งเดินเล่น!!! และไม่คิดว่ามันจะมีเหตุร้าย (ซึ่ง 20 ลำ บรรจุเต็มเอี๊ยดสุด ๆ ก็ได้แค่ 1,300 คนเท่านั้น)
และพอช่วงชุลมุน มีการแก่งแย่ง แบ่งชนชั้น เรือบางลำลูกเรือกลัวจมเลยบรรจุคนไปน้อย บางลำแค่ 12 คน (ไม่บอกก็รู้ว่าชั้นไหน) บางลำแค่ 40
ทำให้คนรอดน้อยลงไปใหญ่ (ผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน เป็นผู้โดยสารราว ๆ 815 คน ที่เหลืออีกราวครึ่งคือลูกเรือ และคนเสียชีวิตส่วนใหญ้เป็นผู้โดยสารชั้น 2-3 ส่วนคนชั้นหนึ่งที่เสีย ส่วนใหญ่เป็นคนที่ยอมสละชีวิตเอง เช่นคู่สามีภรรยาเสตราส์ หรือเบญจามิน กู๊กเก้นไฮม์)
ทั้งหมดนี้ ที่มันจมลง และคนตายเยอะ ไม่ใช่แค่เพราะน้ำแข็งและสถานการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น
แต่เพราะหลายคนที่ต่างคิดว่า เรือลำนี้ "ไม่มีวันจม" ซึ่งเป็นความประมาท เผลอเรอ และหยิ่งผยองของมนุษย์ล้วน ๆ
ดังนั้น ไททานิก 2 ที่สร้าง หากเกิดหลายปัจจัยรวม ๆ กัน แม้จะมีเรดาร์ แต่ถ้ายังเกิดมีความหยิ่งผยอง ความประมาทเผลอเรอ บวกกับความแปรผันของธรรมชาติที่มาแบบประจวบเหมาะแล้ว ยักษ์แค่ไหนก็จมครับผม (ยกตัวอย่างว่าถ้าเกิดพายุหนักแรงจนเกิดสึนามิกลางทะเลแบบเรื่อง โพไซดอน อันนั้นก็ล่มแน่นอนครับ 555)
อ้างอิง :
https://www.marineinsight.com/tech/8-biggest-ship-propellers-in-the-world/amp/
https://www.titanicstory.com/shipspec.htm
https://www.encyclopedia-titanica.org/mystery-titanic-central-propeller.ht
http://en.wikipedia.org/wiki/SS_Californian
http://www.marinerthai.net/sara/viewsara1320.php
https://jusci.net/node/2516
http://en.wikipedia.org/wiki/Lifeboats_of_the_RMS_Titanic
เพราะสาเหตุที่ไททานิกลำแรกจม (สาเหตุที่ชนน้ำแข็ง) มันเกิดจากหลายปัจจัยเกื้อหนุนกันให้ล่มจริง ๆ ครับ
สารคดี Titanic Case Closed สรุปจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานอ้างอิงต่าง ๆ ว่า โดยรวมคือไททานิก "ถึงฆาต" จริงๆ
ฉายาว่า “ไม่มีวันจม” (Unsinkable Ship) จากข้อมูลในสมัยนั้นผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่ายต่างบอกกันเลยว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด ทันสมัยที่สุด และปลอดภัยที่สุด ในยุคสมัยนั้นแล้วครับ ไม่จะไม่มีเทคโนโลยีอะไรมาก ได้ถือได้ว่าครบครัน
ในคืนที่ชน 14 เมษายน 1912 กลางแอตแลนติกคืนนั้นคือคลื่นลมนิ่งสนิทมาก จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่นั้นคุยกันเล่น ๆ ว่าพื้นน้ำ "ยังกับกระจก" ซึ่งภาวะนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในมหาสมุทรนัก หาได้ยากมาก และการที่มันไม่มีคลื่นทำให้กลางคืนมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งเลย อย่างน้อยถ้ามีคลื่นไปกระทบฐานภูเขาน้ำแข็งก็จะเกิดฟองคลื่นขึ้นเห็นได้แต่ไกล พอไม่มีเลยก็มองเห็นน้ำแข็งได้ยากมาก
อีกประการคืออยู่ดี ๆ ในคืนนั้นเกิดปรากฎการณ์อุณหภูมิก็เย็นเยือกลงแบบกระทันหันครับ ผู้โดยสารที่รอดชีวิตมาให้การตรงกันหมดว่าอยู่ดี ๆ อากาศก็เย็นเยือกขึ้นมากลางดึกซะงั้น ซึ่งการเกิดปฏิกิริยาธรรมชาติด้วยการที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วแบบนี้มันทำให้เกิดไอน้ำขึ้นมาทำให้ไม่เห็นขอบฟ้ากับทะเลแยกกันชัดเจน เพราะฉะนั้นการคำนวณรัศมีของภูเขาน้ำแข็งมันทำไม่ได้ และในปีนั้นดันเป็นปีที่มีน้ำแข็งในเส้นทางมากกว่าปกติในรอบหลายสิบปีครับ จากข้อมูลของ Tim Maltin นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เขาพบงานวิจัยของนักวิจัยจาก Texas State University-San Marcos ระบุว่า ในเดือนธันวาคมของปี 1911 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1912 วงโคจรของโลกเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างมาก ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงที่สูงกว่าปกติ น้ำทะเลก็เลยไปชะลากเอาก้อนน้ำแข็งออกมาจากฝั่งลาบราดอร์และนิวฟาวนด์แลนด์ลงสู่ท้องทะเลแอตแลนติกเหนือ ทับเส้นทางเดินเรือของไททานิกพอดี ซึ่งปริมาณมหาศาลมากจนเรือเล็ก ๆ หลาย ๆ คำต้องหยุดการเดินทางกลางทะเล และส่งสัญญาณและโทรเลขเตือนกันให้ว่อน
ผลของการที่มีน้ำแข็งเต็มท้องทะเลทำให้ในเวลาต่อมาอากาศเหนือพื้นน้ำเย็นจัดกว่าอากาศข้างบน ก่อให้เกิดการบิดเบี้ยวการเดินทางของแสงจนเกิดเป็นภาพลวงตา (mirage) แบบเดียวกับที่เราเห็นภาพลวงตาบนถนนที่ร้อนจัด โดย Tim Maltin สันนิษฐานว่าภาพลวงตานี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เจ้าหน้าที่บนเรือไททานิกมองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า เพราะปกติจะเห็นน้ำแข็งพาดผ่านเส้นขอบฟ้า แต่ภาพลวงตาแบบนี้อาจทำให้เห็นเส้นขอบฟ้าสูงกว่าน้ำแข็ง กว่าจะรู้ตัวก็สุดวิสัยที่จะหักหลบได้ทันแล้ว (จังหวะตั้งแต่เห็นน้ำแข็งจนถึงการชนนั้นราว ๆ 30 วินาที)
ข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับคำให้การของพยานผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิกที่บอกว่าวันนั้นมองเห็นเส้นขอบฟ้าพร่าเลือนผิดธรรมชาติครับ
อันที่จริงไททานิกโชคดีมาก ๆ นะครับที่ยังสามารถลอยลำได้อยู่สองชั่วโมง ถ้าบริหารจัดการเรือช่วยชีวิตดี ๆ และถ้ามีเรือลำอื่นมาช่วย ไททานิกอาจไม่มีผู้เสียชีวิตเลยก็ได้ (ยกเว้นคนงานห้องถ่านหินที่อาจตายตอนชนใหม่ ๆ ) เรือชื่อแคลิฟอร์เนียน ห่างออกไปราว 30 ไมล์อาจสามารถมาช่วยได้ทันเวลาจนผู้เสียชีวิตไม่น่าจะมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ด้วยความผิดพลาดของคน คือไททานิกเนี่ย ได้รับวิทยุโทรเลขเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือถึง 7 ครั้ง (เอกสารบางแหล่งระบุว่า 6 ครั้ง) จากเรือเดินสมุทรในสายแอตแลนติกเหนือ หลายลำ และที่ร้ายก็คือ เมื่อเวลา 21.45 น. ไททานิกได้รับวิทยุโทรเลขเตือนว่ามีภูเขาน้ำแข็งและน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่ในเส้นทางข้างหน้า แต่พนักงานวิทยุโทรเลขไม่ได้ส่งข้อความนั้นให้แก่กัปตันหรือเจ้าหน้าที่เรือคนใดเลย ทั้งนี้ เพราะมัวยุ่งอยู่กับการส่งวิทยุโทรเลขให้แก่ผู้โดยสาร ซึ่งเป็นเหตุให้กัปตัน (หรืออิสเมย์) สั่งเร่งความเร็วสูงสุด 23 น้อตนั่นเอง ซึ่งต่อมา 22 นาฬิกา 50 นาที เรือเดินสมุทร แคลิฟอร์เนียน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ส่งข่าวเตือนไททานิก
พนักงานโทรเลขของเรือแคลิฟอเนียน พยายามเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งกับไททานิกว่ามีธารน้ำแข็งใหญ่อยู่ข้างหน้าพวกเขา ทำให้ต้องหยุดเรือเพราะไม่สามารถไปต่อได้ แต่ก็ต้องถูกตัดบทโดยพนักงานโทรเลข แจ็ค ฟิลลิป ที่กำลังยุ่งและอารมณ์ไม่ดีจากการที่ผู้โดยสารต้องการใช้บริการมากมายจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น จึงได้ตอบกลับไปยังเรือแคลิฟอร์เนียนว่า "Shut up, shut up, I am busy; I am working Cape Race" ทำให้เรือแคลิฟอร์เนียนถึงกับเหวอ (ก็อาจจะโกรธล่ะนะ หวังดีแต่โดนตอบมาแบบนั้น) แต่เขาก็ตัดสินใจอยู่ไปอีกสักครู จากนั้นเมื่อ 23.30 เขาก็ตัดสินใจปิดการสื่อสารแล้วเข้านอนไป
เหตุการณ์หลังจากนั้นเมื่อเรือชน Titanic ส่งสัญญาณ CQD ออกไป การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในสมัยนั้นจริงๆจะใช้สัญญาณ CQD (Come Quick Danger) ซึ่งในตอนแรกก็ใช้สัญญาณนั้น ส่วน SOS นั้นเป็นสัญญาณใหม่ ซึ่งพอหลังๆฟิลลิปเห็นว่า CQD ไม่ได้ผล จึงเริ่มส่งสัญญาณ SOS ออกไป ซึ่งถือว่าเป็นเรือลำแรกในโลกที่ใช้ SOS ในการขอความช่วยเหลือ ซึ่งพอเรือใกล้จม แจ็ค ฟิลลิปพยายามส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือไปเรื่อยๆอย่างบ้าคลั่ง (เหมือนกับรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนละมั้ง) และปฏิเสธที่จะหนีจากการชวนของ แฮโรลด์ ไบรด์ เพื่อนเจ้าหน้าที่โทรเลขอีกคน ทำให้ผลสุดท้ายไบรด์รอดชีวิตแต่ถูกหิมะกัดเท้า ส่วนฟิลลิปนั้นเสียชีวิต
และคงมีคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่โทรเลขถึงมั่วแต่สนใจผู้โดยสาร ไม่สนใจงานหลักของเรือ คือเนื่องจากในสมัยนั้นบริษัทโทรเลขไม่ได้ขึ้นตรงกับเรือ แต่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทของมาร์โคนี่ และหน้าที่หลักของห้องโทรเลขในสมัยนั้นคือ บริการผู้โดยสาร เนื่องจากสมัยนั้นมีโทรศัพท์ใช้แล้วก็จริง แต่เนื่องจากโทรศัพท์บนเรือกับแผ่นดินนั้นยังไม่มี การติดต่อโทรเลขจึงสำคัญมาก เพราะการเดินเรือนั้นบางทีกินเวลาเป็นสัปดาห์เป็นเดือน ส่วนหน้าที่ในการติดต่องานเรือนั้นเป็นเรื่องรอง และยังไม่มีระบบการส่งข้อความถึงกับตันอย่างเป็นรูปเป็นร่างอีกด้วยครับ
นอกจากเรื่องของโทรเลขแล้ว ลูกเรือและเจ้าหน้าที่เรือแคลิฟอร์เนียนที่ประจำการเห็นสัญญาณทุกอย่างของไททานิกนะครับ จากการให้การของกัปตันและลูกเรือของเรือแคลิฟอร์เนียนบอกตรงกันว่าเห็นพลุสัญญาณที่เรือไททานิกยิงขึ้นขอความช่วยเหลือ แต่ก็สับสนว่ามันเป็นพลุสัญญาณอะไร เนื่องจากพวกเขาเห็นพลุสัญญาณพุ่งขึ้นไม่สูงนัก และเป็นพลุขาว (อันนี้ไททานิกพลาด ไม่เตรียมพร้อมพลุแดง เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เช็คให้ดี หรือชะล่าใจไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรฉุกเฉิน) และซ้ำร้ายเมื่อเจ้าหน้าที่บนเรือส่องกล้องส่องทางไกลไปดู เขาไม่รู้ว่าเรือลำนั้นคือไททานิกครับ เพราะเห็นว่าเรือที่ยิงพลุขึ้นมามีลักษณะแปลก ๆ ท้องเรือกว้างผิดเรือเดินสมุทรทั่วไป เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเรือไททานิกหรือไม่ และจากการที่ดาวเต็มฟ้าคืนนั้นและจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากความเย็นนั้นมันส่งภาพลวงตาลงมา ทำให้มองไกล ๆ ไม่รู้ว่าแสงแวบ ๆ อะไร เพราะมันคล้ายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างจากตัวเรือ แสงจากดาว หรือแสงจากพลุ เลยไม่รู้ว่าเป็นพลุขอความช่วยเหลือหรือไม่ ต่อมามีคนลองไปจำลองเหตุการณ์ที่สก็อตแลนด์ ว่าถ้ามีดาวอยู่เต็มฟ้า แล้วเรืออีกลำส่งสัญญาณอะไรมา จะเกิดแบบเดียวกันหรือไม่ ปรากฎว่าเหมือนกัน คือก็เห็นแวบๆ แต่ไม่รู้ว่าสัญญานอะไรกันแน่...
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ ตัวกับตัน Stanley Lord โดนประนามอย่างหนักเลยทีเดียว โดยเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเรือไททานิกจะขอความช่วยเหลือมา เพราะเขาเป็นเรือลำเล็ก ๆ ก็นึกว่าเรือสุดยิ่งใหญ่จะมาขอความช่วยเหลือได้ไง มันจะจมได้อย่างไร พอตื่นเช้ามาเท่านั้นแหละถึงรู้ว่าไททานิกจม
และหลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้มีกฏการเดินเรือเพิ่มขึ้น นั่นคือจะต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำห้องสื่อสารตลอด 24 ชม. ครับ
นอกจากพลุ อีกอย่างที่ชัดเจนว่า "ไม่เตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินเลย" คือเรื่อง "เรือชูชีพ" ครับ
ถ้าเราดูจากดาดฟ้าที่มันว่าง ๆ อันที่จริงมันไม่ควรว่างขนาดนั้น อันที่จริงไททานิก พื้นที่ดาดฟ้าทั้งหมดของไททานิกสามารถบรรจุเรือได้ 64 ลำ
ซึ่งเพียงพอและเหลือเฟือกับผู้โดยสารและลูกเรือทั้งราว ๆ 2,400 คน (บรรจุเต็มที่ลำละ 65 คน คูณ 64 ก็ทำให้บรรจุได้ถึง 4,160 หรือ หรือแม้แต่จะให้นั่งสบาย ๆ ลำละ 40 คน ก็ได้มากถึง 2,560 คน) แต่ไททานิกดันออกแบบให้บรรจุเพียง 32 ลำ (เพียงพอตามกฎหมายในสมัยนั้นครึ่งนึงก็ผ่านแล้ว) ซึ่งก็ไม่พอกับลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดอยู่แล้ว แต่เคราะห์ซ้ำกำซัด ก่อนวันที่จะออกเรือจริง ๆ บรรดาผู้มีอำนาจต่างลงความเห็นตรงกันว่าให้เอาเรือออกอีก ให้เหลือ แค่ 20 ก็พอ เพราะมันจะเกะกะดาดฟ้าให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งเดินเล่น!!! และไม่คิดว่ามันจะมีเหตุร้าย (ซึ่ง 20 ลำ บรรจุเต็มเอี๊ยดสุด ๆ ก็ได้แค่ 1,300 คนเท่านั้น)
และพอช่วงชุลมุน มีการแก่งแย่ง แบ่งชนชั้น เรือบางลำลูกเรือกลัวจมเลยบรรจุคนไปน้อย บางลำแค่ 12 คน (ไม่บอกก็รู้ว่าชั้นไหน) บางลำแค่ 40
ทำให้คนรอดน้อยลงไปใหญ่ (ผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน เป็นผู้โดยสารราว ๆ 815 คน ที่เหลืออีกราวครึ่งคือลูกเรือ และคนเสียชีวิตส่วนใหญ้เป็นผู้โดยสารชั้น 2-3 ส่วนคนชั้นหนึ่งที่เสีย ส่วนใหญ่เป็นคนที่ยอมสละชีวิตเอง เช่นคู่สามีภรรยาเสตราส์ หรือเบญจามิน กู๊กเก้นไฮม์)
ทั้งหมดนี้ ที่มันจมลง และคนตายเยอะ ไม่ใช่แค่เพราะน้ำแข็งและสถานการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น
แต่เพราะหลายคนที่ต่างคิดว่า เรือลำนี้ "ไม่มีวันจม" ซึ่งเป็นความประมาท เผลอเรอ และหยิ่งผยองของมนุษย์ล้วน ๆ
ดังนั้น ไททานิก 2 ที่สร้าง หากเกิดหลายปัจจัยรวม ๆ กัน แม้จะมีเรดาร์ แต่ถ้ายังเกิดมีความหยิ่งผยอง ความประมาทเผลอเรอ บวกกับความแปรผันของธรรมชาติที่มาแบบประจวบเหมาะแล้ว ยักษ์แค่ไหนก็จมครับผม (ยกตัวอย่างว่าถ้าเกิดพายุหนักแรงจนเกิดสึนามิกลางทะเลแบบเรื่อง โพไซดอน อันนั้นก็ล่มแน่นอนครับ 555)
อ้างอิง :
https://www.marineinsight.com/tech/8-biggest-ship-propellers-in-the-world/amp/
https://www.titanicstory.com/shipspec.htm
https://www.encyclopedia-titanica.org/mystery-titanic-central-propeller.ht
http://en.wikipedia.org/wiki/SS_Californian
http://www.marinerthai.net/sara/viewsara1320.php
https://jusci.net/node/2516
http://en.wikipedia.org/wiki/Lifeboats_of_the_RMS_Titanic
แสดงความคิดเห็น
ถ้าเรือ "ไททานิค" สร้างด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน